.
จากกรณี พี่ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับ เป็นอีกครั้งที่คำว่า "มะเร็ง" ได้คร่าชีวิตผู้คน
.
มะเร็งนับเป็นโรคที่น่ากลัวไม่น้อย เพราะถึงแม้คุณจะ ‘ตรวจสุขภาพทุกปี’ บางทีก็ไม่พบ
.
ว่าแต่ ‘มะเร็ง’ คืออะไร? และทำไมเราถึงตรวจพบมันได้ยาก?
.
พูดถึงมะเร็งในร่างกายคนเรา แท้จริงก็คือเซลล์กลายพันธุ์ที่ก่อกบฏ ต่อร่างกาย และเนื่องจากเซลล์ในแต่ละส่วนของร่างกายไม่เหมือนกัน ดังนั้นในทางเทคนิค “มะเร็ง” ในแต่ละอวัยวะจึงเป็นคนละโรคกัน ที่ผ่านๆ มามันเลยไม่มีเทคนิคในการรักษามะเร็งที่ใช้รักษามะเร็งได้ทุกชนิดได้ เพราะมันเป็นคนละโรค
.
ทั้งนี้เซลล์มะเร็งถ้ามีในจำนวนไม่มาก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีจำนวนมากล่ะก็ ต้องบอกว่าอันตรายและอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต
.
ดังนั้น ทางการแพทย์จึงแบ่ง ‘มะเร็ง’ ออกเป็น 4 ระยะ ขออธิบายง่ายๆ ดังนี้
.
ระยะที่ 1: เกิดเซลล์มะเร็งในอวัยวะหนึ่ง แต่กลุ่มเซลล์มีขนาดเล็ก ไม่ส่งผลอะไร
.
ระยะที่ 2: เซลล์มะเร็งเริ่มลามในอวัยวะต่างๆ อวัยวะเริ่มทำงานผิดปกติ
.
ระยะที่ 3: เซลล์มะเร็งเริ่มลามออกนอกอวัยวะ สู่บริเวณใกล้ๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองใกล้อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
.
ระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย: เซลล์มะเร็งลามไปทั่วร่างกาย วิ่งในกระแสเลือด และกระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ทั่วร่างกาย
.
การรักษามะเร็งทั่วไปในแบบอุดมคติคือการ ‘กำจัด’ มะเร็งในระยะที่ไม่เกินระยะที่ 2 เนื่องจากเซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลาม
.
ส่วนวิธีการกำจัดก็มีตั้งแต่การ ‘ตัดออก’ ดื้อๆ (นิยมใช้กับมะเร็งลำไส้) หรือบำบัดด้วยสารเคมีที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ ‘คีโม’ (จริงๆ วิธีการรักษามะเร็งในเทคโนโลยีปัจจุบันยังมีอีกหลายวิธี เช่น ภูมิคุ้มกันบำบัด ฯลฯ)
.
แต่ "ปัญหา" ก็คือในกรณีของมะเร็งที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในจำนวนมาก (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรณีนี้) คือตรวจสุขภาพแบบปกติ ‘ไม่เจอ’
.
คือเราต้องเข้าใจก่อนว่าการตรวจสุขภาพทั่วไป ตามมาตรฐาน เขาจะไม่ได้ตรวจ “ทุกอย่าง” อยู่แล้ว หรือให้ตรงกว่านั้นก็คือเอาจริงๆ การตรวจ “ทุกอย่าง” ที่เป็นไปได้ตามเทคโนโลยีปัจจุบันกับ “ทุกคน” คือสิ่งที่สิ้นเปลืองเกินไป ดังนั้นเขาจะตรวจกันเฉพาะสิ่งที่ตรวจได้ง่ายๆ ตรวจได้ทีละเยอะๆ อย่างการตรวจเลือด และเลือกจะทดสอบค่าเลือดของคนๆ หนึ่งตามความเสี่ยง ซึ่งโดยทั่วไปก็จะเป็นเรื่องเพศกับวัยเป็นหลัก ดังนั้นผู้ชายและผู้หญิง การตรวจสุขภาพประจำปีจึงตรวจไม่เหมือนกัน และเราตอนอายุ 30 กับ 50 การตรวจสุขภาพประจำปีก็จะไม่เหมือนกัน
.
แต่ทั้งหมดนี้ การตรวจโดยทั่วไปนั้น โดยทั่วไปก็ไม่ได้มีการตรวจอะไรที่จะทำให้เรารู้ถึงการดำรงอยู่ของมะเร็งเลย จนถึงระยะท้ายๆ แล้ว
.
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเห็นคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี ตรวจสุขภาพตลอด บางทีตรวจพบมะเร็งแป๊บเดียว เสียชีวิตเลย นี่ก็เพราะหลายครั้งพวกเขาก็มักจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งก็ในระยะท้ายๆ แล้ว ในตอนนี้เนื่องจากมะเร็งเริ่มออกอาการชัด ส่งผลให้ป่วยเป็นอะไรไม่รู้ แล้วก็ไปหาหมอ ก่อนหมอจะวินิจฉัยว่า พวกเขาเป็นมะเร็ง ซึ่งเวลานั้นอาจหมายถึงมะเร็งระยะสุดท้าย
.
คำถามคือ ทำไม ‘การตรวจพบมะเร็ง’ แน่เนิ่นๆ ถึงเป็นเรื่องยาก? ทำไมคนตรวจสุขภาพสม่ำเสมอถึงยังอาจเจอมะเร็ง “เมื่อสายไปแล้ว”
.
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การตรวจมะเร็ง ถ้าจะตรวจให้เจอชัวร์ว่าเป็นมะเร็งผ่านการตรวจเลือดดังที่ตรวจกันตามการตรวจสุขภาพปกติ คือตรวจไปเซลล์มะเร็งนั้นไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด
.
ตรวจแบบนี้เจอแน่ๆ และเจอว่าเป็นมะเร็งชัวร์ๆ เพราะมันเอากล้องส่องแล้วเห็นเป็นเซลล์มะเร็งชัดๆ
.
แต่การตรวจเจอเซลล์มะเร็งในเลือด นั่นหมายความว่า คุณเป็นมะเร็งในระยะสุดท้ายแล้ว
.
ดังนั้น ตรวจพบในแง่นี้จึงแทบไม่มีประโยชน์ในการ ‘รักษาอย่างทันท่วงที’
.
ถ้าหากคุณอยากตรวจเจอมะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ วิธีที่เป็นไปได้และชัวร์สุดคือการผ่าเอา ‘เนื้อเยื่อ’ ส่วนที่ต้องสงสัยว่าเป็นมะเร็งไปวิเคราะห์
.
แต่ปัญหาของวิธีนี้คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เซลล์มะเร็งอยู่ตรงไหนของร่างกาย?
.
ปัญหาข้างต้นได้นำมาสู่เทคนิคการวินิจฉัยมะเร็งผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘สารบ่งชี้มะเร็ง’ (Tumor Marker) ซึ่งเป็นสารที่พบในเลือดเมื่ออวัยวะในร่างกายเกิดมะเร็ง กล่าวคือถ้าร่างกายเป็นมะเร็ง มะเร็งจะมีแนวโน้มจะปล่อยสารเคมีที่ “ผิดปกติ” บางอย่างออกมาซึ่งสามารถตรวจเจอได้ในกระแสเลือดตั้งแต่ในระยะแรกๆ หรือพูดง่ายๆ นี่คือ ‘สารคัดหลั่ง’ ของเซลล์มะเร็ง ที่จะทำให้เรารู้ถึงการดำรงอยู่ของมะเร็งก่อนมันจะลุกลามบานปลายไปทั่วร่างกาย
.
การตรวจ ‘สารบ่งชี้มะเร็ง’ แม่นยำแค่ไหน?
.
ต้องบอกว่า ส่วนใหญ่ไม่แม่นยำ เพราะใช้ตรวจสอบไม่ได้ว่าคุณเป็นมะเร็งหรือไม่ ดังนั้น การตรวจแบบนี้จึงไม่นิยมใส่ไว้ในโปรแกรมการตรวจสุขภาพทั่วไป (เว้นแต่จะเป็นโปรแกรมตรวจเลือดแพงๆ สำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย)
.
ส่วนสารบ่งชี้มะเร็งที่บ่งชี้มะเร็งได้แม่นยำก็มีไม่กี่ประเภท เช่น สาร AFP ของมะเร็งตับ และสาร PSA ของมะเร็งต่อมลูกหมาก
.
ซึ่งโดยทั่วไป ก็ไม่นิยมตรวจในคนที่ไม่ใช่ ‘กลุ่มเสี่ยง’ อยู่ดี เช่น AFP จะตรวจเฉพาะในกรณีที่คุณเป็นตับแข็งหรือไวรัสตับอักเสบ หรือ PSA จะตรวจในกรณีที่คุณเป็นผู้ชายอายุเกิน 50 ปี เป็นต้น
.
ทั้งนี้ การตรวจมะเร็งก็มีวิธีอื่นๆ ที่สามารถคาดคะเนได้จาก ‘อาการภายนอก’ เช่น การถ่ายเป็นเลือดอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ เป็นต้น แต่ก็ดังที่บอก มะเร็งจำนวนมากจะไม่มีอาการภายนอกเลยจนถึงระยะท้ายๆ
.
นอกจากนี้ การตรวจสอบประวัติคนในครอบครัวว่า เคยมีคนเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือประวัติด้านสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมว่าคุณอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือไม่ ก็เป็นวิธีที่หมอใช้สกรีนในเบื้องต้นว่า คุณควรได้รับการตรวจอย่างละเอียดต่อไปหรือไม่
.
จากทั้งหมดที่เล่ามา คงพอช่วยให้หลายคนเห็นภาพชัดขึ้นว่า มะเร็งนั้นเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว และทำไมคนส่วนใหญ่ถึงจากไปเพราะมะเร็ง
.
ทีนี้ วกกลับมาเรื่อง ‘มะเร็งตับ’ ซึ่งอยู่ในกรณีเดียวกับมะเร็งอื่นๆ ที่ตรวจพบได้ยาก
.
ถ้าคนในครอบครัวไม่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งตับ และคุณก็ไม่เคยเป็นไวรัสตับอักเสบหรือตับแข็ง หมอปกติก็คงไม่จับคุณมาตรวจอย่างละเอียด นอกจากว่าคุณจะมีอาการบ่งชี้เด่นชัด ซึ่งส่วนมากจะหมายถึง ‘ระยะสุดท้าย’ หรือไม่มะเร็งก็ลามออกนอกตับไปออกอาการทั่วร่างกายแล้ว
.
ดังนั้น มะเร็งหลายๆ ชนิดจึงเป็นโรคที่ "น่ากลัว" เพราะกระบวนการคัดกรองพื้นฐานจะไม่มีวันตรวจเจอ จนกระทั่ง "สายไปแล้ว"
.
ยกตัวอย่างเช่น กรณีมะเร็งตับในอเมริกา คน 3% ที่เป็นตับแข็งจะเป็นมะเร็งตับ แต่ประเด็นคือคนเป็นมะเร็งตับที่สืบเนื่องมาจากตับแข็งมีอยู่ราว 87% อีกราว 13% คือไม่ได้ตับแข็ง
.
ซึ่งกลุ่มคน 13% อยู่ในกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง และกว่าจะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ ก็มักจะรู้ตัวเมื่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพราะก่อนหน้านั้น ด้วยกระบวนการตรวจคัดกรองโรคตามปกติ เขาไม่มีทางจะได้ตรวจมะเร็งเลย
.
และสิ่งที่มะเร็งตับน่ากลัวเป็นพิเศษก็คือ มะเร็งคือเซลล์เกิดใหม่ที่กลายพันธุ์หันมาเป็นศัตรูกับร่างกาย ดังนั้นอวัยวะที่มีเซลล์เกิดใหม่บ่อยๆ ก็จะเกิดมะเร็งได้ง่าย และตับคืออวัยวะที่ได้ชื่อว่ามีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นมันมีความเสี่ยงตามธรรมชาติอยู่แล้วที่เซลล์ที่เกิดใหม่ขึ้นมาสักเซลล์จะเป็นมะเร็งได้ ซึ่งนี่แต่ต่างจากอวัยวะอย่างไตที่อัตราการฟื้นฟูต่ำมากๆ โอกาสเป็นมะเร็งจึงต่ำ และโดยทั่วไปก็คงไม่มีใครเคยได้ยิน “มะเร็งไต” (แต่จริงๆ มันมีนะครับ แค่เกิดน้อยมากๆ)
.
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คงพอจะช่วยให้เห็นภาพความน่ากลัวของ ‘มะเร็ง’ ที่พร้อมจะคร่าชีวิตเราและคนใกล้ตัวไปโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
.
การจากไปอย่างกะทันหันของ พี่ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เพราะโรคมะเร็งตับ
.
ไม่มากก็น้อย น่าจะทำให้เราย้อนกลับมาคิดและตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตในแต่ละวัน.
อ้างอิง: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ> https://bit.ly/3hiBy9V
ศูนย์มะเร็งตรงเป้า> https://bit.ly/2Yo8TI2
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล> https://bit.ly/2MR3p37
NCBI> https://bit.ly/2UxfVJp
#Cancer #BrandThink
#แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่
#sharingIsEmpowering
อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่
Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
Instagram: instagram.com/brandthink.me
Website: www.brandthink.me
โรคมะเร็ง ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นโรคที่เกิดจากภายในตัวเราเอง ดังนั้น ถ้าเป็นแล้ว ความน่ากลัวของมันคือค่าใช้จ่ายในการรักษาต่างหาก
แต่วันนี้ ... เราสามารถลดความกังวลไปได้ เพราะ เรามีแผนคุ้มครอง ป้องกันค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ถ้าวันนั้นมาถึง แต่ถ้าไม่มีวันนั้น ถือว่าโชคดี และ เงินเบี้ยประกันที่จ่ายไป ก็จะกลายเป็นเงินเก็บสำหรับใช้ในบั้นปลายชีวิต
สนใจติดต่อได้ ที่นี่ คุณรฐา หลายศิธาภัค
โทร 094-5522-645
Line ID: noi-rata
0 ความคิดเห็น